รู้หรือไม่? โซเชียลมีเดียอาจปิดกั้นเนื้อหาบางประเภทเพื่อปกป้องชุมชน เรียนรู้สาเหตุถูกปิดกั้นการมองเห็นของโซเชี่ยลมีเดีย
แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนทั่วโลก แต่ในขณะเดียวกัน เนื้อหาบางประเภทอาจถูกจำกัดหรือปิดกั้นโดยอัลกอริธึมและนโยบายของแต่ละแพลตฟอร์ม เพื่อควบคุมสิ่งที่ผู้ใช้เห็นและปกป้องชุมชนออนไลน์จากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม การทำความเข้าใจว่าเนื้อหาประเภทใดบ้างที่มักถูกปิดกั้นและเหตุผลเบื้องหลังนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักการตลาดและผู้สร้างเนื้อหาที่ต้องการสร้างเนื้อหาที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ
ทำความเข้าใจการปิดกั้นการมองเห็น
การเปิดการรับรู้และการปิดกั้นการรับรู้บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการเข้าถึงเนื้อหาที่ผู้ใช้จะเห็น โดยกระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นได้หลายปัจจัย ดังนี้
ใหม่ล่าสุด! “Digital Marketing Masterclass 2025" เป็นคอร์สเรียนรู้การตลาดดิจิทัลยุคใหม่ ทั้ง Growth, Performance, Data-driven, และ Customer Experience Marketing เพื่อสร้างการเติบโตและตอบโจทย์ลูกค้า สมัครเรียนออนไลน์ผ่านระบบ Google Meet สอนโดย พันธุ์ทิตต์ สิรภพธาดา …คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติม…
การเปิดการรับรู้ (Awareness Expansion)
การเปิดการรับรู้หมายถึง การที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียแสดงผลหรือขยายเนื้อหาให้ผู้ใช้เห็นมากขึ้น ซึ่งเกิดจากปัจจัยหลายประการ
- อัลกอริธึมของแพลตฟอร์ม
- แพลตฟอร์มใช้เทคโนโลยี AI เพื่อระบุเนื้อหาที่ผู้ใช้อาจสนใจ ซึ่งนำไปสู่การแสดงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องในหน้าฟีดของพวกเขา อัลกอริธึมนี้มักพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความสนใจและการมีปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้กับเนื้อหาที่คล้ายกัน
- การมีปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้
- การไลค์ แชร์ และคอมเมนต์ จะส่งสัญญาณไปยังแพลตฟอร์มว่าเนื้อหานั้นมีคุณค่าและน่าสนใจ ส่งผลให้แพลตฟอร์มแสดงเนื้อหาดังกล่าวในวงกว้างมากขึ้น
- การลงโฆษณา
- ผู้ลงโฆษณาสามารถใช้การโฆษณาแบบจ่ายเงินเพื่อขยายการเข้าถึงเนื้อหาและเพิ่มการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง
การปิดกั้นการรับรู้ (Awareness Blocking)
การปิดกั้นการรับรู้เกิดขึ้นเมื่อแพลตฟอร์มจำกัดการเข้าถึงเนื้อหาของบางบัญชีหรือบางประเภทเนื้อหา เพื่อควบคุมหรือป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เห็นเนื้อหาที่ไม่พึงประสงค์
- การแบนเงา (Shadow Banning)
- แพลตฟอร์มอาจใช้การแบนเงาเพื่อลดการมองเห็นของเนื้อหาบางประเภทหรือบัญชีที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น การละเมิดกฎการใช้งานหรือการโพสต์เนื้อหาที่มีลักษณะสแปม
- การกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม
- แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมักจะตรวจสอบและกรองเนื้อหาที่มีลักษณะรุนแรง ลามกอนาจาร หรือมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการเกลียดชัง เพื่อปกป้องประสบการณ์ของผู้ใช้
- การเลือกกรองเนื้อหาอิงอัลกอริธึม
- แพลตฟอร์มสามารถลดการแสดงเนื้อหาบางประเภทที่ผู้ใช้ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์ หรือเนื้อหาที่แพลตฟอร์มพิจารณาว่าไม่น่าสนใจ ซึ่งทำให้เนื้อหาเหล่านั้นมีการมองเห็นน้อยลง
วิธีที่นักการตลาดควรจัดการกับการเปิดและปิดกั้นการรับรู้
นักการตลาดควรมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงวิธีการทำงานของอัลกอริธึมและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของแต่ละแพลตฟอร์ม เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากการเปิดการรับรู้และลดผลกระทบจากการปิดกั้นการรับรู้ ดังนี้:
- สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและถูกใจผู้ใช้
- เนื้อหาคุณภาพสูงที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายมีแนวโน้มที่จะมีการมีปฏิสัมพันธ์สูง ซึ่งช่วยเพิ่มการเข้าถึงเนื้อหาและลดความเสี่ยงในการถูกปิดกั้น
- ติดตามและปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริธึม
- การปรับเนื้อหาให้เข้ากับอัลกอริธึมเป็นสิ่งสำคัญ เช่น เน้นการใช้รูปแบบที่ได้รับการส่งเสริมในปัจจุบัน เช่น วิดีโอสั้น Reels หรือ Stories
- ใช้การโฆษณาแบบเสียค่าใช้จ่าย
- หากต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง การใช้โฆษณาช่วยให้เนื้อหาได้แสดงผลอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาการมองเห็นตามธรรมชาติเท่านั้น
- ตรวจสอบประสิทธิภาพและวิเคราะห์ข้อมูล
- การตรวจสอบข้อมูลอย่างต่อเนื่องช่วยให้เข้าใจถึงสิ่งที่ทำงานได้ดี และสิ่งที่อาจต้องปรับปรุงเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปิดกั้นเนื้อหา
- ปรับปรุงโปรไฟล์และปรับเนื้อหาให้เหมาะสม
- การใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องในโปรไฟล์และเนื้อหา ช่วยให้แพลตฟอร์มระบุและแสดงเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
การทำความเข้าใจกลไกการทำงานของการเปิดและปิดกั้นการรับรู้ช่วยให้นักการตลาดสามารถปรับกลยุทธ์และเลือกเนื้อหาที่มีโอกาสเข้าถึงได้ดีในแต่ละแพลตฟอร์มอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
เนื้อหาแบบไหนที่จะถูกปิดกั้นบนแต่ละแพลทฟอร์ม
เนื้อหาที่จะถูกปิดกั้นหรือจำกัดการมองเห็นบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ จะมีความแตกต่างกันไปตามนโยบายและมาตรฐานของแต่ละแพลตฟอร์ม ต่อไปนี้คือประเภทเนื้อหาที่มักจะถูกปิดกั้นหรือจำกัดบนแพลตฟอร์มหลัก
- Facebook
- เนื้อหาที่ละเมิดมาตรฐานชุมชน: เช่น เนื้อหาที่มีความรุนแรง ก่อความเกลียดชัง หรือมีการคุกคาม ทั้งนี้รวมถึงภาพความรุนแรงและเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับเด็ก
- เนื้อหาที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด: Facebook จะจำกัดการมองเห็นเนื้อหาที่เป็นข่าวปลอม ข้อมูลที่บิดเบือน หรือการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้เข้าใจผิด
- การขายสินค้าผิดกฎหมาย: เช่น ยาเสพติด สินค้าปลอม หรือการส่งเสริมการค้าขายอาวุธปืนและสิ่งของผิดกฎหมาย
- เนื้อหาที่สนับสนุนกิจกรรมผิดกฎหมาย: เช่น การพนันที่ผิดกฎหมาย การค้าประเวณี หรือการส่งเสริมการกระทำที่ผิดกฎหมายอื่นๆ
- เนื้อหาที่ละเมิดมาตรฐานชุมชน: เช่น เนื้อหาที่มีความรุนแรง ก่อความเกลียดชัง หรือมีการคุกคาม ทั้งนี้รวมถึงภาพความรุนแรงและเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับเด็ก
- Instagram
- เนื้อหาลามกอนาจาร: เช่น ภาพเปลือยที่ไม่เหมาะสมหรือภาพอนาจาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพที่มีลักษณะเกี่ยวกับผู้เยาว์
- เนื้อหาที่ชักจูงให้เกิดการทำร้ายตัวเอง: เช่น การส่งเสริมการทำร้ายตนเองหรือการฆ่าตัวตาย
การขายสินค้าหรือบริการที่ผิดกฎหมาย: เช่น การโฆษณาสินค้าปลอมหรือยาผิดกฎหมาย - เนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์: เช่น การโพสต์ภาพหรือวิดีโอที่มีลิขสิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาต
- เนื้อหาลามกอนาจาร: เช่น ภาพเปลือยที่ไม่เหมาะสมหรือภาพอนาจาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพที่มีลักษณะเกี่ยวกับผู้เยาว์
- Twitter (หรือ X)
- การข่มขู่และการล่วงละเมิด: Twitter มีนโยบายที่เข้มงวดเกี่ยวกับเนื้อหาที่แสดงการข่มขู่ การล่วงละเมิด การเหยียดเชื้อชาติ และการใช้วาจาที่รุนแรง
- เนื้อหาความรุนแรงและลามกอนาจาร: เนื้อหาที่มีภาพและวิดีโอรุนแรงมากเกินไป หรือสื่อลามกที่ไม่เหมาะสมจะถูกจำกัด
- ข้อมูลที่บิดเบือน: โดยเฉพาะเนื้อหาที่ส่งเสริมการบิดเบือนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง การแพร่ระบาด หรือปัญหาสุขภาพที่อาจทำให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลผิดพลาด
- การแอบอ้างบุคคลอื่น: บัญชีที่แอบอ้างเป็นคนอื่น หรือการนำเนื้อหาของบุคคลอื่นไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต จะถูกลงโทษและจำกัดการมองเห็น
- การข่มขู่และการล่วงละเมิด: Twitter มีนโยบายที่เข้มงวดเกี่ยวกับเนื้อหาที่แสดงการข่มขู่ การล่วงละเมิด การเหยียดเชื้อชาติ และการใช้วาจาที่รุนแรง
- YouTube
- เนื้อหาละเมิดลิขสิทธิ์: เช่น วิดีโอที่มีเพลง ละคร หรือภาพยนตร์ที่มีลิขสิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาต
- เนื้อหาที่รุนแรงหรือน่ากลัว: วิดีโอที่มีความรุนแรง หรือส่งเสริมการทำร้ายตัวเอง หรือพฤติกรรมที่อันตรายจะถูกลบออกหรือจำกัดอายุ
- เนื้อหาที่หลอกลวงหรือเป็นเท็จ: เช่น การโฆษณาที่หลอกลวง และวิดีโอที่ให้ข้อมูลที่บิดเบือนเกี่ยวกับสุขภาพหรือวิทยาศาสตร์
- เนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกับผู้เยาว์: YouTube มีนโยบายเพื่อปกป้องเด็กจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและการทำให้เสื่อมเสีย ซึ่งรวมถึงวิดีโอที่มีการคุกคามหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมสำหรับผู้เยาว์
- เนื้อหาละเมิดลิขสิทธิ์: เช่น วิดีโอที่มีเพลง ละคร หรือภาพยนตร์ที่มีลิขสิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาต
- TikTok
- เนื้อหาที่ไม่เหมาะสมทางเพศ: TikTok มีการควบคุมอย่างเข้มงวดเกี่ยวกับเนื้อหาลามกหรือมีลักษณะทางเพศที่ไม่เหมาะสม
- การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์: เช่น เนื้อหาที่สนับสนุนการกลั่นแกล้งหรือการทำร้ายจิตใจผู้อื่น
- เนื้อหาความรุนแรงและอันตราย: TikTok จำกัดการเข้าถึงวิดีโอที่มีความรุนแรง การท้าทายอันตราย หรือการกระทำที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยของผู้ใช้
- การส่งเสริมการใช้ยาเสพติดหรือการพนัน: วิดีโอที่มีการส่งเสริมยาเสพติด การพนัน หรือกิจกรรมที่ผิดกฎหมายอื่นๆ จะถูกลบออกจากแพลตฟอร์ม
- เนื้อหาที่ไม่เหมาะสมทางเพศ: TikTok มีการควบคุมอย่างเข้มงวดเกี่ยวกับเนื้อหาลามกหรือมีลักษณะทางเพศที่ไม่เหมาะสม
วิธีป้องกันการถูกปิดกั้น
- ปฏิบัติตามข้อกำหนดการใช้บริการ
- ตรวจสอบและปฏิบัติตามนโยบายของแต่ละแพลตฟอร์มเพื่อป้องกันการเผยแพร่เนื้อหาที่อาจถูกจำกัด
- สร้างเนื้อหาที่ปลอดภัยและเหมาะสม
- สร้างสรรค์เนื้อหาที่เคารพสิทธิและความเหมาะสมทางสังคม ทั้งนี้จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ติดตาม
- ใช้คำหลักที่เหมาะสมและระมัดระวัง
- การใช้คำที่เหมาะสมจะช่วยลดโอกาสในการถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม
การรู้ถึงนโยบายเหล่านี้จะช่วยให้นักการตลาดและครีเอเตอร์สามารถผลิตเนื้อหาที่ไม่เพียงแต่มีคุณภาพ แต่ยังปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ อีกด้วย
บทสรุป
การทราบว่าเนื้อหาประเภทใดบ้างที่มักจะถูกปิดกั้นบนโซเชียลมีเดียจะช่วยให้ครีเอเตอร์และนักการตลาดสามารถสร้างเนื้อหาที่ปลอดภัยและเหมาะสมยิ่งขึ้น การปฏิบัติตามนโยบายและสร้างสรรค์เนื้อหาที่มีคุณค่า ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มโอกาสให้เนื้อหาเข้าถึงผู้ใช้ได้มากขึ้น แต่ยังเป็นการสร้างสังคมออนไลน์ที่ดีและเป็นมิตรต่อทุกคน