SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization หมายถึง การปรับแต่งเว็บไซต์หรือเว็บเพจให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับการค้นหาของเครื่องมือค้นหา (Search Engine) ยอดนิยม เช่น Google โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เป้าหมายหลักคือ การทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้นๆ ในหน้าผลการค้นหา เมื่อผู้ใช้ค้นหาด้วยคำคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง

ตัวอย่าง: สมมติว่าคุณมีเว็บไซต์ขายรองเท้าผ้าใบ

SEOที่ดี: เมื่อผู้ใช้ค้นหาคำว่า “รองเท้าผ้าใบ” เว็บไซต์ของคุณจะติดอันดับต้นๆ ในหน้าผลการค้นหา ผู้ใช้มีโอกาสเห็นเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น และคลิกเข้ามาดูสินค้า

SEOไม่ดี: เว็บไซต์ของคุณอาจจะไม่ติดอันดับบนหน้าแรก หรืออยู่หน้าลึกๆ ผู้ใช้มีโอกาสเห็นเว็บไซต์ของคุณน้อยลง ส่งผลต่อยอดขาย

SEO สำคัญอย่างไร?

เพิ่ม Traffic ธรรมชาติ (Organic Traffic): เมื่อเว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้นๆ ผู้ใช้จะเห็นเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น คลิกเข้ามาดูสินค้า เพิ่มโอกาสในการขาย Traffic ธรรมชาติเป็น Traffic ที่ดี ผู้ใช้มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้ามากกว่า Traffic ที่มาจากโฆษณา

เพิ่มการรับรู้ออนไลน์ (Brand Awareness): เมื่อผู้ใช้เห็นเว็บไซต์ของคุณบ่อยๆ จะเริ่มจดจำแบรนด์ของคุณ การรับรู้ออนไลน์ที่ดีจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และดึงดูดลูกค้าใหม่

ประหยัดค่าใช้จ่าย: SEO เป็นวิธีการตลาดออนไลน์ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ต่างจากโฆษณาที่ต้องเสียเงิน SEOที่ดีจะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย: คุณสามารถใช้ SEO เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับสินค้าหรือบริการของคุณ การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย

เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์: SEO ที่ดีจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณโหลดเร็ว ใช้งานง่าย และเป็นมิตรกับผู้ใช้ เว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ที่ดี และกลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณอีกครั้ง

โดยหลักๆ แล้ว SEO แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ:

On-Page SEO: เป็นการปรับแต่งเว็บไซต์ภายในตัวเว็บเพจ เช่น การใช้คำหลัก เนื้อหา รูปภาพ โครงสร้างเว็บไซต์ ฯลฯ

Off-Page SEO: เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์จากภายนอก เช่น การสร้าง Backlink จากเว็บไซต์อื่นๆ การมี Social Media Engagement ฯลฯ

โดยสรุป: SEO เป็นกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่สำคัญ ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้นๆ เพิ่ม Traffic ประหยัดค่าใช้จ่าย เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์